ประวัติความเป็นมา
กองทัพอากาศได้กำหนดทิศทางการดำเนินการพลังงานทดแทน
ตามแนวทางโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระประมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช นโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงกลาโหม
ซึ่งได้กำหนดกรอบทิศทางการดำเนินการดังกล่าวในยุทธศาสตร์ กองทัพอากาศ พ.ศ.2551
ถึง 2562 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2552 และ พ.ศ.2557) โดยมีวิสัยทัศน์เป็นกองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาค
ในหัวข้อยุทธศาสตร์ที่ 2 เสริมสร้างสมรรถนะและความพร้อมในการป้องกันประเทศ
เพื่อพัฒนาขีดความสามารถการส่งกำลังบำรุง โดยระบุโครงการ งาน
กิจกรรม ในแผนแม่บทการส่งกำลังบำรุง พ.ศ.2553–2556 และ พ.ศ.2557–2562
ซึ่งเป็นแผนการพัฒนาด้านส่งกำลังบำรุงตามยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
รวมทั้งนโยบายผู้บัญชาการทหารอากาศ พ.ศ.2552 จนถึงปัจจุบัน ได้ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นพลังงานสำรองทั้งในยามปกติและในยามขาดแคลนพลังงาน
รวมทั้งมุ่งเน้นการอนุรักษ์พลังงานทุกรูปแบบ
เริ่มจากปี พ.ศ.2551 กองทัพอากาศได้แต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ศึกษาข้อมูลการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสำรอง โดยมี พลอากาศโท อนาวิล ภิรมย์รัตน์ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศ ฝ่ายยุทธบริการ (ตำแหน่งขณะนั้น) เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำงาน ได้จัดทำโครงการนำร่องพลังงานแสงอาทิตย์ ณ สถานีถ่ายทอดโทรคมนาคมบ้านลาดช้าง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี มีขนาดกำลังไฟฟ้าเฉลี่ย 10 กิโลวัตต์ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่บทบาทและการดำเนินการของกองทัพอากาศกับพลังงานทดแทน โดยเชื่อมต่อระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เข้ากับระบบไฟฟ้าปกติของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อ 15 ต.ค.51 และ พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ เสนาธิการทหารอากาศ (ตำแหน่งขณะนั้น) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวเมื่อ 9 ธ.ค.51 สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 20,000 หน่วยต่อปี ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 55 หน่วยต่อวัน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 60,000 บาทต่อปี อีกทั้งได้รับความรู้และข้อมูลเพื่อนำต้นแบบระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ประโยชน์ทางราชการ ตลอดจนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกองทัพอากาศในการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดภาวะโลกร้อน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน และสร้างจิตสำนึกให้กับข้าราชการและชุมชนด้านพลังงาน
ในปี 2552 กองทัพอากาศได้แต่งตั้งคณะกรรมการพลังงานทดแทนกองทัพอากาศ โดยมี พลอากาศเอก อนาวิล ภิรมย์รัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพอากาศ (ตำแหน่งขณะนั้น) เป็นประธานกรรมการ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้พลังงานทดแทนของกองทัพอากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นพลังงานสำรองได้ ทั้งในยามปกติ รวมทั้งในยามขาดแคลนพลังงาน ตามนโยบายของกองทัพอากาศ และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล